
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552
ยางลบกะดินสอ..!
มีดินสอที่เขียนอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่แท่งหนึ่งมียางลบที่ลบอย่างไรก็ไม่มีวันหมดอยู่ก้อนหนึ่งฟังดูอาจตลกทุกคนอาจคิดว่าดินสอกับยางลบเป็นของคู่กันแต่ลองอ่านดูก่อนนะดินสอแท่งนั้นเป็นเพื่อนกับยางลบก้อนนั้นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันทำอะไรด้วยกันหน้าที่ของดินสอก็คือเขียนมันจึงเขียนทุกที่ทุกอย่างเสมอตลอดเวลาที่อยู่กับยางลบหน้าที่ของยางลบก็คือลบ มันจึงลบทุกอย่างที่ดินสอเขียนทุกที่ทุกเวลาเวลาผ่านไปนานหลายสิบปี ทุกอย่างก็ยังดำเนินเหมือนเดิมเรื่อยมาจนกระทั่งดินสอเอ่ยกับยางลบว่า เรากับนายคงอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วยางลบจึงถามว่าทำไมล่ะดินสอจึงตอบกลับไปว่า ก็เราเขียนนายลบแล้วมันก็ไม่เหลืออะไรเลยยางลบจึงเถียงว่าเราทำตามหน้าที่ของเราเราไม่ผิดทั้งคู่จึงแยกทางกันดินสอพอแยกทางกับยางลบมันก็ดีใจที่สามารถเขียนอะไรได้ตามใจมันแต่พอเวลาผ่านไปมันเริ่มเขียนผิดข้อความที่สวยๆที่มันเคยเขียนได้ก็สกปรกมีแต่รอยขีดทิ้งเต็มไปหมดมันคิดถึงยางลบจับใจฝ่ายยางลบพอแยกทางกับดินสอมันก็ดีใจที่ตัวมันไม่ต้องเปื้อนอีกต่อไป
พอเวลาผ่านไป มันกลับใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีอะไรให้ลบมันคิดถึงดินสอจับใจทั้งคู่จึง กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่คราวนี้ดินสอเขียนน้อยลงเขียนแต่สิ่งที่ดีส่วนยางลบก็ลบเฉพาะที่ดินสอเขียนผิด เท่านั้นถ้าเปรียบการเขียนเป็นการจำดินสอ ในตอนแรกก็จำทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดีแต่พอเปลี่ยนไป มันก็หัดเลือกจำแต่สิ่งดีๆเท่านั้นส่วนการลบเปรียบเหมือนการลืมยางลบในตอนแรกก็ลืมทุกอย่างทั้งดีและไม่ดีแต่ทุกครั้งที่ลืมเรื่องไม่ดีตัวมันก็จะสกปรกแต่ตอนหลังมันเลือกลืมแต่เรื่องไม่ดีหรือ คือการให้อภัยนั่นเองฉะนั้นการเปรียบการเดินทางของทั้งคู่ดุจมิตรภาพคือ การจำแต่สิ่งดีๆ และลืมในสิ่งที่อาจผิดพลาดบ้าง

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551
โรคแพ้ความใกล้ชิด>///<

ศัพท์ทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า
"thinking more than....spectolocomotif"
มีต้นกำเนิดจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบได้ทั่วไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก
แต่ได้รับรายงานส่วนใหญ่ว่า
โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง
อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ
ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย
ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25%
อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย
ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่
อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ
เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต
ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่
ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด
.+นิยามความเหงา+.

แล้วอาการเหงาๆ เฉาๆเนี่ยมันก็จะเกาะใจเราอยู่ไปจนกระทั่ง เมื่อได้เราได้รับความสนใจ ใส่ใจจากใคร โดยเฉพาะจากคนนั้นที่เราเอาใจไปทากาวตราช้างติดเอาไว้ หรือ เมื่อเราไปเจอกับใครคนใหม่ หรืออะไรใหม่ๆที่มีแรงดึงดูดที่แรงกว่ากาวตราช้างที่ติดใจเรากับคนนั้นไว้.. โดยไม่ทันรู้ตัว เราก็จะเริ่มทากาวตราช้างไปติดกับสิ่งใหม่ที่ดึงเราออกไป ในขณะที่กาวเก่าก็จะเริ่มหมดสภาพความเหนียวลงเรื่อยๆ..และแล้วความเหงาก็จะหายไป....... ชั่วคราวใช่แล้ว แค่ชั่วคราว เพราะสองอย่างข้างบนนี้ไม่เคยทำให้ใครหายเหงาได้ตลอดไปเลย..เหตุผลเดียวคือ.. เราไม่สามารถบังคับใครก็ตามให้มาเป็นอย่างใจเราได้ตลอดไปเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้รับความใส่ใจอย่างที่ใจเราต้องการ.. ความเหงาก็จะกลับมาอีก..
"ความเหงา คือความอยากรู้ ว่าเรามีตัวตนลองนึกดูว่า เราจะหายเหงา เมื่อมีคนมาให้ความสนใจกับ "เรา" ซึ่งนี่ เป็นหลักฐานว่า ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งพิสูจน์ว่ามี "เรา" ความเหงาก็จะหายไป ไม่ว่าจะบอกด้วยภาษาพูดหรือภาษาท่าทางว่า "เรา" นั้นสวย น่ารัก น่าสนใจ มีเสน่ห์ ดึงดูดใจ เป็นที่หนึ่งในใจเขา blah blah blah ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ที่ใจเราจะพองด้วยความดีใจ นี่คือหลักฐานหนึ่ง ว่าคนเรานั้น ต้องการที่จะรู้ว่า "เรา" มีตัวตน จึงมีคนให้ความสนใจ ใส่ใจ รักใคร่ ใยดี มีใจ"
สรุปได้ว่า ความเหงาคือความทะยานอยากจะรู้ให้ได้ว่าเรามีตัวตน คือความอยากรู้จักตัวเองแต่เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง จึงต้องไปอาศัยตาชาวบ้านเพื่อจะมองกลับมาให้เห็นและพิสูจน์ว่าเราน่ะมีตัวตนจริงๆนะ..ทีนี้จะทำยังไงล่ะถึงจะหายเหงาได้ถาวร??แทนที่จะเราจะแก้ไขอาการเหงาหรืออาการอยากรู้จักตัวเองด้วยการไปรอให้มีสิ่งพิสูจน์จากภายนอก ที่มาทำตัวเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้รู้ว่าเรามีตัวตน มีความสำคัญ มีเสน่ห์ดึงดูด ฯลฯ ก็ใช้ตัวเราเองนี่แหละ มาทำความรู้จักกับตัวเรา โดยการ "รู้" อยู่ที่ "ตัวเรา"นี่คือแนวทางในการปฏิบัติในทางพุทธที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" หรือ "ความรู้ตัว"
เมื่อเราเริ่ม "รู้" ว่า "ตัวเรา" นี่คืออะไร มีขอบเขตอยู่แค่ไหน.. เราก็จะเข้าใจแล้วก็รู้จักตัวเองมากขึ้น.. อาการอยากรู้จักตัวเองก็จะค่อยๆหายไป..เริ่มดูจากกาย(รูปธรรม)ที่ง่ายหน่อย แล้วก็เขยิบไปดูจิต(นามธรรม)ที่ยากขึ้น"และเมื่อเฝ้าดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นชัดและเป็นกลางขึ้นว่าความเหงาคืออะไร ความเสียใจ ความเศร้าหมองคืออะไร และเข้าใจว่าทุกข์นั้นเกิดจากิริยาจิตอย่างนี้ในที่สุดก็จะเห็นความจริง ว่าอันที่จริงแล้ว ที่จิตเข้าใจว่าจิตคือเรานั้น เป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะอันที่จริงนั้น จิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครซึ่งเป็นเรื่องที่จิตเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากความเข้าใจผิด พ้นจากความวนเวียนเฝ้าหาทางพิสูจน์อยู่ตลอด ว่าจิตเป็นเรา"
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551
Ciseau


On désigne par paire de ciseaux, l'outil comportant deux lames articulées qui glissent l'une sur l'autre pour trancher les matériaux minces.
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
Père Noël

Le Père Noël est l'équivalent français du Santa Claus américain dont le nom est lui-même déformation du Sinter Klaas néerlandais. Il est aussi largement inspiré de Julenisse, un lutin nordique qui apporte des cadeaux, à la fête du milieu de l'hiver, la Midtvintersblot, ainsi que du dieu celte Gargan, (qui inspira le Gargantua de Rabelais) et du dieu viking Odin, qui descendait sur terre pour offrir des cadeaux aux enfants scandinaves. De Julenisse, le Père Noël a gardé la barbe blanche, le bonnet et les vêtements en fourrure rouge.
Même si le mythe peut varier fortement d'une région à l'autre, notamment à cause du climat du 25 décembre qui peut aller du plein hiver dans l'hémisphère nord au plein été dans l'hémisphère sud, on l'imagine généralement comme un gros bonhomme avec une longue barbe blanche, habillé de vêtements chauds de couleur rouge avec un liseré de fourrure blanche ; les lutins l'aident à préparer les cadeaux. Il effectue la distribution à bord d'un traîneau volant tiré par des rennes (ou sur une planche de surf en Australie). Il entre dans les maisons par la cheminée (s'il y en a une) et dépose les cadeaux dans des chaussures disposées autour du sapin ou devant la cheminée (en France), dans des chaussettes prévues à cet effet accrochées à la cheminée

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551
YoYoCiCi =.=


อายุหนึ่งขวบ สูง 72 cm หนัก 15 kg

ลิง Cici เพศเมีย
ชอบสีเขียว
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายทำเล ที่นั่นมีเพื่อน ๆ หลายคนโตมาพร้อม ๆ กับ Yoyo โดยหนึ่งในนั้นก็มีสาวในฝัน Cici อยู่ด้วย แต่การที่จะเอาชนะใจลิง Cici ยังต้องลงแรงอีกมาก

ลิง Cici เพศเมีย
อายุหนึ่งขวบ สูง 65 cm หนัก 10 kg
ชอบสีส้ม
เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็กกับลิง Yoyo น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ ชอบเอาเครื่องประดับต่าง ๆ มาตกแต่งตัวเอง ชอบจินตนาการว่าตัวเองได้รับความสุขแบบสมบูรณ์แบบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)