วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โรคแพ้ความใกล้ชิด>///<

โรคแพ้ความใกล้ชิด
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า
"thinking more than....spectolocomotif"
มีต้นกำเนิดจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบได้ทั่วไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก
แต่ได้รับรายงานส่วนใหญ่ว่า
โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง

อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ
ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย
ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25%
อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย
ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า
โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่
อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ
เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต

ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่
ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด

.+นิยามความเหงา+.

อาการเหงาคืออาการของคนที่ต้องการความสนใจ เอาใจใส่จากใครๆ.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ใครๆ = คนที่เราเอาใจไปยึดติดเอาไว้..
แล้วอาการเหงาๆ เฉาๆเนี่ยมันก็จะเกาะใจเราอยู่ไปจนกระทั่ง เมื่อได้เราได้รับความสนใจ ใส่ใจจากใคร โดยเฉพาะจากคนนั้นที่เราเอาใจไปทากาวตราช้างติดเอาไว้ หรือ เมื่อเราไปเจอกับใครคนใหม่ หรืออะไรใหม่ๆที่มีแรงดึงดูดที่แรงกว่ากาวตราช้างที่ติดใจเรากับคนนั้นไว้.. โดยไม่ทันรู้ตัว เราก็จะเริ่มทากาวตราช้างไปติดกับสิ่งใหม่ที่ดึงเราออกไป ในขณะที่กาวเก่าก็จะเริ่มหมดสภาพความเหนียวลงเรื่อยๆ..และแล้วความเหงาก็จะหายไป....... ชั่วคราวใช่แล้ว แค่ชั่วคราว เพราะสองอย่างข้างบนนี้ไม่เคยทำให้ใครหายเหงาได้ตลอดไปเลย..เหตุผลเดียวคือ.. เราไม่สามารถบังคับใครก็ตามให้มาเป็นอย่างใจเราได้ตลอดไปเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้รับความใส่ใจอย่างที่ใจเราต้องการ.. ความเหงาก็จะกลับมาอีก..

"ความเหงา คือความอยากรู้ ว่าเรามีตัวตนลองนึกดูว่า เราจะหายเหงา เมื่อมีคนมาให้ความสนใจกับ "เรา" ซึ่งนี่ เป็นหลักฐานว่า ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งพิสูจน์ว่ามี "เรา" ความเหงาก็จะหายไป ไม่ว่าจะบอกด้วยภาษาพูดหรือภาษาท่าทางว่า "เรา" นั้นสวย น่ารัก น่าสนใจ มีเสน่ห์ ดึงดูดใจ เป็นที่หนึ่งในใจเขา blah blah blah ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ที่ใจเราจะพองด้วยความดีใจ นี่คือหลักฐานหนึ่ง ว่าคนเรานั้น ต้องการที่จะรู้ว่า "เรา" มีตัวตน จึงมีคนให้ความสนใจ ใส่ใจ รักใคร่ ใยดี มีใจ"
สรุปได้ว่า ความเหงาคือความทะยานอยากจะรู้ให้ได้ว่าเรามีตัวตน คือความอยากรู้จักตัวเองแต่เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง จึงต้องไปอาศัยตาชาวบ้านเพื่อจะมองกลับมาให้เห็นและพิสูจน์ว่าเราน่ะมีตัวตนจริงๆนะ..ทีนี้จะทำยังไงล่ะถึงจะหายเหงาได้ถาวร??แทนที่จะเราจะแก้ไขอาการเหงาหรืออาการอยากรู้จักตัวเองด้วยการไปรอให้มีสิ่งพิสูจน์จากภายนอก ที่มาทำตัวเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้รู้ว่าเรามีตัวตน มีความสำคัญ มีเสน่ห์ดึงดูด ฯลฯ ก็ใช้ตัวเราเองนี่แหละ มาทำความรู้จักกับตัวเรา โดยการ "รู้" อยู่ที่ "ตัวเรา"นี่คือแนวทางในการปฏิบัติในทางพุทธที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" หรือ "ความรู้ตัว"

เมื่อเราเริ่ม "รู้" ว่า "ตัวเรา" นี่คืออะไร มีขอบเขตอยู่แค่ไหน.. เราก็จะเข้าใจแล้วก็รู้จักตัวเองมากขึ้น.. อาการอยากรู้จักตัวเองก็จะค่อยๆหายไป..เริ่มดูจากกาย(รูปธรรม)ที่ง่ายหน่อย แล้วก็เขยิบไปดูจิต(นามธรรม)ที่ยากขึ้น"และเมื่อเฝ้าดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นชัดและเป็นกลางขึ้นว่าความเหงาคืออะไร ความเสียใจ ความเศร้าหมองคืออะไร และเข้าใจว่าทุกข์นั้นเกิดจากิริยาจิตอย่างนี้ในที่สุดก็จะเห็นความจริง ว่าอันที่จริงแล้ว ที่จิตเข้าใจว่าจิตคือเรานั้น เป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะอันที่จริงนั้น จิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครซึ่งเป็นเรื่องที่จิตเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากความเข้าใจผิด พ้นจากความวนเวียนเฝ้าหาทางพิสูจน์อยู่ตลอด ว่าจิตเป็นเรา"

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Ciseau

Le terme ciseau désigne une famille d'outils servant à couper nettement divers matériaux ou à enlever de la matière. Un ciseau est généralement en acier et comporte une seule arête tranchante montée sur un court manche. Certains ciseaux doivent être percutés par des outils de frappe.
On désigne par paire de ciseaux, l'outil comportant deux
lames articulées qui glissent l'une sur l'autre pour trancher les matériaux minces.

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Père Noël

Le Père Noël est un personnage fictif, correspondant à une évolution du saint Nicolas chrétien. Il fit son apparition aux États-Unis au XIXe siècle. Le terme « Père Noël » apparaît plus tardivement en France, au milieu du XXe siècle. Qu'il soit appelé (en) Santa Claus, (en) Father Christmas, (de) Weihnachtsmann ou Père Noël, sa fonction principale est de distribuer des cadeaux aux enfants dans les maisons pendant la nuit de Noël qui a lieu chaque année le 25 décembre.
Le Père Noël est l'équivalent français du Santa Claus américain dont le nom est lui-même déformation du Sinter Klaas
néerlandais. Il est aussi largement inspiré de Julenisse, un lutin nordique qui apporte des cadeaux, à la fête du milieu de l'hiver, la Midtvintersblot, ainsi que du dieu celte Gargan, (qui inspira le Gargantua de Rabelais) et du dieu viking Odin, qui descendait sur terre pour offrir des cadeaux aux enfants scandinaves. De Julenisse, le Père Noël a gardé la barbe blanche, le bonnet et les vêtements en fourrure rouge.
Même si le mythe peut varier fortement d'une région à l'autre, notamment à cause du climat du 25 décembre qui peut aller du plein hiver dans l'
hémisphère nord au plein été dans l'hémisphère sud, on l'imagine généralement comme un gros bonhomme avec une longue barbe blanche, habillé de vêtements chauds de couleur rouge avec un liseré de fourrure blanche ; les lutins l'aident à préparer les cadeaux. Il effectue la distribution à bord d'un traîneau volant tiré par des rennes (ou sur une planche de surf en Australie). Il entre dans les maisons par la cheminée (s'il y en a une) et dépose les cadeaux dans des chaussures disposées autour du sapin ou devant la cheminée (en France), dans des chaussettes prévues à cet effet accrochées à la cheminée (en Amérique du Nord anglophone et au Royaume-Uni), ou tout simplement sous le sapin de Noël. En Islande, il dépose un petit cadeau dans une chaussure que les enfants laissent sur le bord d'une fenêtre dès le début du mois de décembre. Au Québec, les cadeaux au pied du sapin sont de mise, en plus des « bas de noël » disposés sur la cheminée dans lesquels on met les petites surprises.

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

YoYoCiCi =.=

ลิง Yoci (悠嘻猴 ยิวสี่โหว)ความจริงมาจากชื่อของลิงสองตัวรวมกัน ตัวชายชื่อ Yoyo ตัวหญิงชื่อ Cici โดยที่คำว่า Yoci ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า 游戏 ที่แปลว่าเกม


ลิง Yoyo เพศผู้
อายุหนึ่งขวบ สูง 72 cm หนัก 15 kg
ชอบสีเขียว
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายทำเล ที่นั่นมีเพื่อน ๆ หลายคนโตมาพร้อม ๆ กับ Yoyo โดยหนึ่งในนั้นก็มีสาวในฝัน Cici อยู่ด้วย แต่การที่จะเอาชนะใจลิง Cici ยังต้องลงแรงอีกมาก


ลิง Cici เพศเมีย
อายุหนึ่งขวบ สูง 65 cm หนัก 10 kg
ชอบสีส้ม
เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็กกับลิง Yoyo น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ ชอบเอาเครื่องประดับต่าง ๆ มาตกแต่งตัวเอง ชอบจินตนาการว่าตัวเองได้รับความสุขแบบสมบูรณ์แบบ
ผองเพื่อน YoYoCiCi

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

+.วันพ่อแห่งชาติ.+

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม
หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและ สังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวมทั้งพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เรืออากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศริน พระสวามีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์วลัยลักษณ์และพระเจ้าหลาน เธอทุกพระองค์ ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรวงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังบทร้อยกรองเทิดพระเกียรติว่า
“อันราชาเลี้ยงรักษาซึ่งทวยราษฎร์ ประดุจเป็นปิตุราชอยู่ทุกเมื่อ ควรที่บุตรสุดรักจักจุนเจือ

พระคุณนั้นให้อะเคื้อด้วยภักดี
และอีกบทหนึ่งเทิดพระเกียรติว่า
“ทุกบุปผามาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสินพระคือบิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพรลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิเรกพระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน”
ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป
ดอกพุทธรักษา สัญลักษณ์วันพ่อแห่งชาติ

คณะกรรมการจัดงานวันพ่อแห่งชาติได้กำหนดให้ดอกพุทธรักษาดอกไม้ที่มีนามเป็นมงคลนี้เป็นสัญลักษณ์
วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาติ
1. ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์หรือทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศลและระลึกถึงพระคุณพ่อ
3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมยกย่องผู้ที่ สมควร ได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อ ตัวอย่าง
สำหรับคุณสมบัติของพ่อตัวอย่าง
คณะกรรมการได้กำหนดไว้ดังนี้
1. มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป
2. ส่งเสริมการศึกษาแกบุตรและธิดา
3. นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด
4. งดเว้นอบายมุขทุกชนิด
5. อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อประชาชน
6. มีภรรยาเพียงคนเดียว
หน้าที่ของบิดา มารดาพึงมีต่อบุตร
ห้ามมิให้ทำความชั่ว - ป้องกัน, ห้ามปราม มิให้ประพฤติเสียหาย
ให้ตั้งอยู่ในความดี - ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี และกฎหมายบ้านเมือง
ให้ศึกษาศิลปวิทยา - ส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาทั้งคดีโลก และคดีธรรม
หาคู่ครองที่สมควรให้ - เลือกคู่ครองที่คู่ควร, เหมาะสมให้ในเวลาอันเหมาะสม
มอบทรัพย์สมบัติให้ดูแลเมื่อถึงเวลาอันสมควร - มอบภาระหน้าที่การงานให้บริหาร และมอบมรดกให้ครอบครอง
หน้าที่ของบุตรพึงมีต่อบิดามารดา
เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นการตอบแทน - เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าอย่าปล่อยให้ท่านอดรันทดใจในวัยชรา
ช่วยทำกิจการงานของท่าน - ไม่นิ่งดูดายเป็นคนไร้น้ำใจเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่
ดำรงวงศ์ตระกูล - ไม่ทำตระกูลให้เสื่อมและเสียหาย
ประพฤติตนให้สมควรได้รับทรัพย์มรดก - ประพฤติตนให้ท่านไว้ใจและวางใจ ที่จะครอบครองสมบัติ
ท่านเจ็บป่วยต้องรักษา ท่านมรณาต้องทำศพให้ - ทำความปรารถนาของพ่อแม่มิให้พังทลาย
วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

~พระจันทร์ยิ้ม^^ วันที่1ธันวาคม2551~

ลักษณะของมัน คือ มีดาว 2 ดวง แทน ตาระยิบระยับ

ส่วน พระจันทร์ แทน ปาก เป็นเสี้ยวยิ้มบานฉ่ำ
ลองมองท้องฟ้าคืนนี้ ดูสิ่ แร๊วจาเหนว่า ''พระจันทร์ยิ้ม''
น่ารั๊กมั่กๆเร๊ย ย ย!!! จิงๆน๊า~
พระจันทร์ยิ้มหั้ย ^^ 55