วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โรคแพ้ความใกล้ชิด>///<

โรคแพ้ความใกล้ชิด
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า
"thinking more than....spectolocomotif"
มีต้นกำเนิดจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบได้ทั่วไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก
แต่ได้รับรายงานส่วนใหญ่ว่า
โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง

อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ
ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย
ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25%
อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย
ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า
โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่
อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ
เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต

ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่
ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด

.+นิยามความเหงา+.

อาการเหงาคืออาการของคนที่ต้องการความสนใจ เอาใจใส่จากใครๆ.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ใครๆ = คนที่เราเอาใจไปยึดติดเอาไว้..
แล้วอาการเหงาๆ เฉาๆเนี่ยมันก็จะเกาะใจเราอยู่ไปจนกระทั่ง เมื่อได้เราได้รับความสนใจ ใส่ใจจากใคร โดยเฉพาะจากคนนั้นที่เราเอาใจไปทากาวตราช้างติดเอาไว้ หรือ เมื่อเราไปเจอกับใครคนใหม่ หรืออะไรใหม่ๆที่มีแรงดึงดูดที่แรงกว่ากาวตราช้างที่ติดใจเรากับคนนั้นไว้.. โดยไม่ทันรู้ตัว เราก็จะเริ่มทากาวตราช้างไปติดกับสิ่งใหม่ที่ดึงเราออกไป ในขณะที่กาวเก่าก็จะเริ่มหมดสภาพความเหนียวลงเรื่อยๆ..และแล้วความเหงาก็จะหายไป....... ชั่วคราวใช่แล้ว แค่ชั่วคราว เพราะสองอย่างข้างบนนี้ไม่เคยทำให้ใครหายเหงาได้ตลอดไปเลย..เหตุผลเดียวคือ.. เราไม่สามารถบังคับใครก็ตามให้มาเป็นอย่างใจเราได้ตลอดไปเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้รับความใส่ใจอย่างที่ใจเราต้องการ.. ความเหงาก็จะกลับมาอีก..

"ความเหงา คือความอยากรู้ ว่าเรามีตัวตนลองนึกดูว่า เราจะหายเหงา เมื่อมีคนมาให้ความสนใจกับ "เรา" ซึ่งนี่ เป็นหลักฐานว่า ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งพิสูจน์ว่ามี "เรา" ความเหงาก็จะหายไป ไม่ว่าจะบอกด้วยภาษาพูดหรือภาษาท่าทางว่า "เรา" นั้นสวย น่ารัก น่าสนใจ มีเสน่ห์ ดึงดูดใจ เป็นที่หนึ่งในใจเขา blah blah blah ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ที่ใจเราจะพองด้วยความดีใจ นี่คือหลักฐานหนึ่ง ว่าคนเรานั้น ต้องการที่จะรู้ว่า "เรา" มีตัวตน จึงมีคนให้ความสนใจ ใส่ใจ รักใคร่ ใยดี มีใจ"
สรุปได้ว่า ความเหงาคือความทะยานอยากจะรู้ให้ได้ว่าเรามีตัวตน คือความอยากรู้จักตัวเองแต่เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง จึงต้องไปอาศัยตาชาวบ้านเพื่อจะมองกลับมาให้เห็นและพิสูจน์ว่าเราน่ะมีตัวตนจริงๆนะ..ทีนี้จะทำยังไงล่ะถึงจะหายเหงาได้ถาวร??แทนที่จะเราจะแก้ไขอาการเหงาหรืออาการอยากรู้จักตัวเองด้วยการไปรอให้มีสิ่งพิสูจน์จากภายนอก ที่มาทำตัวเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้รู้ว่าเรามีตัวตน มีความสำคัญ มีเสน่ห์ดึงดูด ฯลฯ ก็ใช้ตัวเราเองนี่แหละ มาทำความรู้จักกับตัวเรา โดยการ "รู้" อยู่ที่ "ตัวเรา"นี่คือแนวทางในการปฏิบัติในทางพุทธที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" หรือ "ความรู้ตัว"

เมื่อเราเริ่ม "รู้" ว่า "ตัวเรา" นี่คืออะไร มีขอบเขตอยู่แค่ไหน.. เราก็จะเข้าใจแล้วก็รู้จักตัวเองมากขึ้น.. อาการอยากรู้จักตัวเองก็จะค่อยๆหายไป..เริ่มดูจากกาย(รูปธรรม)ที่ง่ายหน่อย แล้วก็เขยิบไปดูจิต(นามธรรม)ที่ยากขึ้น"และเมื่อเฝ้าดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นชัดและเป็นกลางขึ้นว่าความเหงาคืออะไร ความเสียใจ ความเศร้าหมองคืออะไร และเข้าใจว่าทุกข์นั้นเกิดจากิริยาจิตอย่างนี้ในที่สุดก็จะเห็นความจริง ว่าอันที่จริงแล้ว ที่จิตเข้าใจว่าจิตคือเรานั้น เป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะอันที่จริงนั้น จิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครซึ่งเป็นเรื่องที่จิตเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากความเข้าใจผิด พ้นจากความวนเวียนเฝ้าหาทางพิสูจน์อยู่ตลอด ว่าจิตเป็นเรา"

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Ciseau

Le terme ciseau désigne une famille d'outils servant à couper nettement divers matériaux ou à enlever de la matière. Un ciseau est généralement en acier et comporte une seule arête tranchante montée sur un court manche. Certains ciseaux doivent être percutés par des outils de frappe.
On désigne par paire de ciseaux, l'outil comportant deux
lames articulées qui glissent l'une sur l'autre pour trancher les matériaux minces.

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Père Noël

Le Père Noël est un personnage fictif, correspondant à une évolution du saint Nicolas chrétien. Il fit son apparition aux États-Unis au XIXe siècle. Le terme « Père Noël » apparaît plus tardivement en France, au milieu du XXe siècle. Qu'il soit appelé (en) Santa Claus, (en) Father Christmas, (de) Weihnachtsmann ou Père Noël, sa fonction principale est de distribuer des cadeaux aux enfants dans les maisons pendant la nuit de Noël qui a lieu chaque année le 25 décembre.
Le Père Noël est l'équivalent français du Santa Claus américain dont le nom est lui-même déformation du Sinter Klaas
néerlandais. Il est aussi largement inspiré de Julenisse, un lutin nordique qui apporte des cadeaux, à la fête du milieu de l'hiver, la Midtvintersblot, ainsi que du dieu celte Gargan, (qui inspira le Gargantua de Rabelais) et du dieu viking Odin, qui descendait sur terre pour offrir des cadeaux aux enfants scandinaves. De Julenisse, le Père Noël a gardé la barbe blanche, le bonnet et les vêtements en fourrure rouge.
Même si le mythe peut varier fortement d'une région à l'autre, notamment à cause du climat du 25 décembre qui peut aller du plein hiver dans l'
hémisphère nord au plein été dans l'hémisphère sud, on l'imagine généralement comme un gros bonhomme avec une longue barbe blanche, habillé de vêtements chauds de couleur rouge avec un liseré de fourrure blanche ; les lutins l'aident à préparer les cadeaux. Il effectue la distribution à bord d'un traîneau volant tiré par des rennes (ou sur une planche de surf en Australie). Il entre dans les maisons par la cheminée (s'il y en a une) et dépose les cadeaux dans des chaussures disposées autour du sapin ou devant la cheminée (en France), dans des chaussettes prévues à cet effet accrochées à la cheminée (en Amérique du Nord anglophone et au Royaume-Uni), ou tout simplement sous le sapin de Noël. En Islande, il dépose un petit cadeau dans une chaussure que les enfants laissent sur le bord d'une fenêtre dès le début du mois de décembre. Au Québec, les cadeaux au pied du sapin sont de mise, en plus des « bas de noël » disposés sur la cheminée dans lesquels on met les petites surprises.

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2551

YoYoCiCi =.=

ลิง Yoci (悠嘻猴 ยิวสี่โหว)ความจริงมาจากชื่อของลิงสองตัวรวมกัน ตัวชายชื่อ Yoyo ตัวหญิงชื่อ Cici โดยที่คำว่า Yoci ในภาษาจีนพ้องเสียงกับคำว่า 游戏 ที่แปลว่าเกม


ลิง Yoyo เพศผู้
อายุหนึ่งขวบ สูง 72 cm หนัก 15 kg
ชอบสีเขียว
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชายทำเล ที่นั่นมีเพื่อน ๆ หลายคนโตมาพร้อม ๆ กับ Yoyo โดยหนึ่งในนั้นก็มีสาวในฝัน Cici อยู่ด้วย แต่การที่จะเอาชนะใจลิง Cici ยังต้องลงแรงอีกมาก


ลิง Cici เพศเมีย
อายุหนึ่งขวบ สูง 65 cm หนัก 10 kg
ชอบสีส้ม
เป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็กกับลิง Yoyo น่ารัก ใครเห็นใครก็ชอบ ชอบเอาเครื่องประดับต่าง ๆ มาตกแต่งตัวเอง ชอบจินตนาการว่าตัวเองได้รับความสุขแบบสมบูรณ์แบบ
ผองเพื่อน YoYoCiCi

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

+.วันพ่อแห่งชาติ.+

ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม
หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและ สังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบันรวมทั้งพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ เรืออากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศริน พระสวามีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์วลัยลักษณ์และพระเจ้าหลาน เธอทุกพระองค์ ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรวงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังบทร้อยกรองเทิดพระเกียรติว่า
“อันราชาเลี้ยงรักษาซึ่งทวยราษฎร์ ประดุจเป็นปิตุราชอยู่ทุกเมื่อ ควรที่บุตรสุดรักจักจุนเจือ

พระคุณนั้นให้อะเคื้อด้วยภักดี
และอีกบทหนึ่งเทิดพระเกียรติว่า
“ทุกบุปผามาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสินพระคือบิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพรลุ 5 ธันวามหาราช “วันพ่อแห่งชาติ” คือองค์อดิเรกพระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน”
ซึ่งนอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น “พ่อแห่งชาติ” ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้วัฒนาถาวรสืบไป
ดอกพุทธรักษา สัญลักษณ์วันพ่อแห่งชาติ

คณะกรรมการจัดงานวันพ่อแห่งชาติได้กำหนดให้ดอกพุทธรักษาดอกไม้ที่มีนามเป็นมงคลนี้เป็นสัญลักษณ์
วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน
กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาติ
1. ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์หรือทำบุญใส่บาตร เพื่ออุทิศส่วนกุศลและระลึกถึงพระคุณพ่อ
3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมยกย่องผู้ที่ สมควร ได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อ ตัวอย่าง
สำหรับคุณสมบัติของพ่อตัวอย่าง
คณะกรรมการได้กำหนดไว้ดังนี้
1. มีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป
2. ส่งเสริมการศึกษาแกบุตรและธิดา
3. นับถือศาสนาโดยเคร่งครัด
4. งดเว้นอบายมุขทุกชนิด
5. อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อประชาชน
6. มีภรรยาเพียงคนเดียว
หน้าที่ของบิดา มารดาพึงมีต่อบุตร
ห้ามมิให้ทำความชั่ว - ป้องกัน, ห้ามปราม มิให้ประพฤติเสียหาย
ให้ตั้งอยู่ในความดี - ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม วัฒนธรรมประเพณี และกฎหมายบ้านเมือง
ให้ศึกษาศิลปวิทยา - ส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาทั้งคดีโลก และคดีธรรม
หาคู่ครองที่สมควรให้ - เลือกคู่ครองที่คู่ควร, เหมาะสมให้ในเวลาอันเหมาะสม
มอบทรัพย์สมบัติให้ดูแลเมื่อถึงเวลาอันสมควร - มอบภาระหน้าที่การงานให้บริหาร และมอบมรดกให้ครอบครอง
หน้าที่ของบุตรพึงมีต่อบิดามารดา
เลี้ยงดูบิดามารดาเป็นการตอบแทน - เลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่าอย่าปล่อยให้ท่านอดรันทดใจในวัยชรา
ช่วยทำกิจการงานของท่าน - ไม่นิ่งดูดายเป็นคนไร้น้ำใจเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่
ดำรงวงศ์ตระกูล - ไม่ทำตระกูลให้เสื่อมและเสียหาย
ประพฤติตนให้สมควรได้รับทรัพย์มรดก - ประพฤติตนให้ท่านไว้ใจและวางใจ ที่จะครอบครองสมบัติ
ท่านเจ็บป่วยต้องรักษา ท่านมรณาต้องทำศพให้ - ทำความปรารถนาของพ่อแม่มิให้พังทลาย
วันที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น “วันชาติของไทย” อีกด้วย

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

~พระจันทร์ยิ้ม^^ วันที่1ธันวาคม2551~

ลักษณะของมัน คือ มีดาว 2 ดวง แทน ตาระยิบระยับ

ส่วน พระจันทร์ แทน ปาก เป็นเสี้ยวยิ้มบานฉ่ำ
ลองมองท้องฟ้าคืนนี้ ดูสิ่ แร๊วจาเหนว่า ''พระจันทร์ยิ้ม''
น่ารั๊กมั่กๆเร๊ย ย ย!!! จิงๆน๊า~
พระจันทร์ยิ้มหั้ย ^^ 55

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จุฬาวิชาการ

จุฬาฯ จัดงาน “จุฬาวิชาการ” ครั้งที่ 13 สุดอลังการอีกครั้งในรอบ 3 ปี ภายใต้แนวคิด “พลังแห่งปัญญา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เปิดรั้วต้อนรับ ทั้งบุคคลทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมงานซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 26-30 พฤศจิกายน 2551 ที่จะถึงนี้ ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึง 20.00 น. ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยงานปีนี้ได้ชูแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยพระราชดำริของในหลวง เพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างสังคมแห่งความพอเพียงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนจุดเด่นของงานนั้นอยู่ที่ศาลาพระเกี้ยวซึ่งจะเป็นนิทรรศการแสงสีมัลติมีเดียล้ำยุคที่สะท้อนแนวคิดวิธีการพัฒนาภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง ทั้งยังจำลองสภาพปัญหาภาวะโลกร้อนและปัญหาอื่นๆ ที่ประสบอยู่ในปัจจุบันผ่านรูปแบบสื่อผสมสุดไฮเทคที่ให้ผู้ชมสามารถมีส่วนร่วมใช้ประสาทสัมผัสทุกมิติเปิดรับประสบการณ์ปัญหาเหมือนเกิดขึ้นจริง พร้อมทั้งร่วมกันช่วยคิดหาทางแก้ โดยนำเสนอผลงานของนิสิตจุฬาฯ เป็นพลังส่วนหนึ่งในการผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Loy Kratong

Loy Kratong (ou Loi Krathong, Thaï ลอยกระทง) est une fête célébrée chaque année dans toute la Thaïlande. Elle a lieu lors de la pleine lune du 12e mois du calendrier thaï lunaire traditionnel ; dans le calendrier occidental, ceci se produit généralement en novembre. Cette tradition a débuté à Sukhothai mais est à présent fêtée dans toute la Thaïlande, les festivités de Chiang Mai et d’Ayutthaya étant particulièrement célèbres. Dans le Nord du royaume, à Chiang Mai notamment, Loy Kratong est l’occasion d’un spectaculaire lâcher dans les airs de lanternes emportées par des ballons cylindriques à air chaud . Loy Kratong est l’une des fêtes amusantes et joyeuses de la tradition thaïe.

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

HiveR

L'hiver est une des quatre saisons des zones tempérées.
Astronomiquement, cette saison commence avec le solstice d'hiver (autour du 21 décembre dans l'hémisphère nord et du 21 juin dans l'hémisphère sud) et finit à l'équinoxe de printemps (autour du 21 mars dans l'hémisphère nord et 23 septembre dans l'hémisphère sud). Dans l'hémisphère nord, c'est au moment du solstice d'hiver que la nuit est la plus longue de toute l'année.
La date culturelle de début de l’hiver peut varier selon les pays. Ainsi au
Royaume-Uni et en Irlande on considère plus le solstice comme le milieu de l’hiver qui commence aux alentours du 1er novembre vers la Samhain. En Australie l’hiver commence vers le 1er juin. Dans l’astrologie chinoise et dans certains pays asiatiques voisins de la Chine, l’hiver commence vers le 7 novembre avec « l’établissement de l’hiver » (立冬 lìdōng en hànyǔ pīnyīn, 立冬 rittō en rōmaji, 입동 (立冬) en hangûl).
En
météorologie, l'hiver s'étend par convention de décembre à février dans l'hémisphère nord et de juin à août dans l'hémisphère sud.
Plus on se rapproche des
pôles, plus l'hiver est réputé rigoureux. Cela est également vrai en montagne lorsque l'altitude augmente. En hiver, les journées sont plus courtes que les nuits. L'hiver polaire est caractérisé, au-delà du cercle polaire, par au moins une nuit ininterrompue de 24 heures. Le cycle des saisons est dû à l'inclinaison de la Terre par rapport à l'écliptique. Lorsqu'un hémisphère est plongé dans l'hiver, il est incliné à l'opposé du Soleil.
L'
orbite de la Terre n'est pas parfaitement circulaire ; elle est elliptique. La Terre atteint son périhélie lorsque l'hémisphère nord est incliné à l'opposé du Soleil. Ainsi, dans l'hémisphère nord, l'hiver est légèrement plus court que l'été du fait que la Terre est plus près du Soleil, ce qui la fait accélérer sur son orbite conformément à la deuxième loi de Kepler.

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

RosE

La rose est la fleur des rosiers, arbustes du genre Rosa et de la famille des Rosaceae. La rose des jardins se caractérise avant tout par la multiplication de ses pétales imbriqués qui lui donnent sa forme caractéristique.
Appréciée pour sa beauté, célébrée depuis l’antiquité par de nombreux poètes et écrivains, pour ses couleurs qui vont du blanc pur au pourpre foncé en passant par le jaune franc et toutes les nuances intermédiaires, et pour son
parfum, elle est devenue la « reine des fleurs », présente dans presque tous les jardins et presque tous les bouquets. C’est sans doute la fleur la plus cultivée au monde, mais on oublie souvent que les rosiers sont aussi des plantes sauvages (le plus connu en Europe est l’églantier) aux fleurs simples à cinq pétales, qui sont devenus à la mode, pour leur aspect plus naturel, depuis quelques décennies sous le nom de « roses botaniques ».

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Larme

Tous les mammifères, dont l'être humain sécrètent des larmes . Ce liquide lacrymal est un fluide biologique salé, secrété par les glandes lacrymales au niveau des yeux. Ce liquide nettoie et protège l'œil en facilitant l'évacuation des corps étrangers (poussière, insecte) qui pourraient y aboutir.
Les larmes sont produites lorsque le liquide lacrymal déborde de l'œil ou bien quand les glandes lacrymales sont bouchées. Elles se présentent sous forme de gouttes qui coulent le long des joues : le verbe qui désigne la production de larmes est pleurer (ou parfois larmoyer).Une production (réflexe) accrue de larmes est activée par certains stimuli, par exemple si le système nerveux détecte un danger au niveau de la cornée tel qu'un contact avec un objet ou un acide (ex : l'acide qui attaque l'œil quand on épluche un oignon ; dans ce cas larmoyer permet de diluer l'acidité et de la chasser de la paroi oculaire.
Les larmes trahissent le plus souvent un état de désespoir, de tristesse ou de douleur, mais peuvent aussi apparaître en d'autres circonstances émotionnelles : joie, rire... Pleurer est normalement d'un acte réflexe, mais certains comédiens peuvent les produire en évoquant intérieurement des circonstances provoquant la tristesse.
Dans diverses cultures, des "pleureuses" étaient ou sont encore appelées pour pleurer les morts.

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

30 วิธี ช่วยตัวเองให้มีความสุข^^

บางครั้ง ความสุขก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามา ...บางครั้ง มันอาจจะจะ
อยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้
1. นึกไว้เสมอว่า การโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง
2. ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจกรับรองว่าเขาต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้ง
3. ลองปลูกต้นไม้เองซักต้นการเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้
4. หลับตานิ่งๆสัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน
5. ระหว่างแปรงฟันฮัมเพลงไปด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นเป็น 2 เท่า
6. เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลงจากรสชาติที่ธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย
7. ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ต้องการให้หวีอย่างทะนุถนอมเหมือนกันหมด
8. การขึ้น-ลงบันไดสูงๆแบบไม่ให้เมื่อย คือ การไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันไดขั้นที่เท่าไร
9. คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวยมากๆทันทีที่คุณถามเขาว่า ช่วยพาข้ามถนนไหม
10. เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทานไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่จะหย่อนลงกระป๋องหรอก
11. ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าจะพูดคำว่า จะเอายังไง
12. ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ไปสายเหมือนเมื่อก่อน
13. สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง ดังนั้น เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ จึงเล่าให้มันฟังได้
14. อาหารที่จะไม่ชอบกินตอนเด็กลองตักเข้าปากอีกสักที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด
15. เขียนชื่อคนที่คุณเกลียดใส่กระดาษ แล้วฉีกทิ้ง (หรือแปะไว้ใต้รองเท้าแล้วใส่รองเท้านั้นไปเดินเล่นสักพัก)ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ
16. ปล่อยน้ำตาให้ไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูแทบไม่ออกเลยว่าเพิ่งร้องไห้
17. ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆจะทำให้เรายิ้มออกเสมอเมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง
18. ก่อนซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมัน ทำให้ได้ 3 ข้อก่อน
19. ถึงเสื้อและกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใสสลับกันไปเรื่อยๆก็จะดูเหมือนมีเยอะขึ้น
20. ซาลาเปา 1 ลูก กินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้ กินได้ 4 คน ถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21. เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าให้คนที่ได้เยอะ จนจำชื่อคนให้ได้ไม่หมด
22. ในวันที่รู้สึกเศร้าหรือเหงาๆเดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกก็จะดีขึ้น
23. แอบรักใครสักคน...ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร
24. ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความจะแต่งตัว สวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่
25. ฝึกโรแมนติกง่ายๆคนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน
26. ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนสดใสได้ ทำไมถึงจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้
27. พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบ มันอาจจะไม่สนุก แต่ก็มีประโยชน์แฝงอยู่
28. วันที่ตื่นเช้าให้บิดขี้เกียจให้นานที่สุด เท่าที่จะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย
29. แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว
30. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมให้คุณเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท
v
v
v
๕๕๕+ มีความสุขมั๊ยล่ะ???

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทำไมเวลาฝนตก...คนจึงเหงา??


"ทำไมเวลาฝนตก....เรามักคิดถึงใครบางคน หรือบางทีเราก็รู้สึกเหงา....... ทำไมเวลาที่ฝนตก เรามักจะคิดถึงคนที่เรารัก เราผูกพัน และบางครั้งก็รู้สึกเหงาด้วย ...." เมื่อก่อนนี้ ท้องฟ้า แผ่นดิน และผืนน้ำ เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสามอยู่ใกล้ชิดติดกัน จนกระทั่งโลกได้กำเนิดพืช และสัตว์ขึ้น แผ่นดิน และผืนน้ำก็มัวแต่ดูแลเอาใจใส่พืช และสัตว์ จนละเลยและไม่สนใจท้องฟ้า ท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจ และถอยตัวห่างออกไป ห่างออกไปทุกที ทุกที จนถึงวันที่มีนกตัวแรกออกโบยบิน แผ่นดิน และผืนน้ำจึงได้รู้ว่าท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล แผ่นดิน และผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมาก เลยไม่ได้ยิน นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า นกก็บินขึ้นสูง สูงขึ้น สูงขึ้น และส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป ไปไม่ถึงท้องฟ้า แต่นกก็สัญญาว่า ต่อไปนี้นกทุกตัวจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อนำข่าวจากแผ่นดิน และผืนน้ำไปบอก ผืนน้ำ และแผ่นดินรู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนได้ห่างออกไปไกล และคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน ผืนน้ำพยายามที่จะม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นดินพยายามยกตัวสูงจนตั้งตระหง่าน แต่นั่นก็ยังสูงไม่พอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด ก็บอกกับทั้งสองว่า "เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้" พระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยการส่องแสงลงมายังผืนน้ำ และแผ่นดิน ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ ลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า เล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นรูปตามที่แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอมา และบอกว่าแผ่นดิน และผืนน้ำคิดถึงมาก อยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนเมื่อก่อน ท้องฟ้าได้รับรู้เรื่องราว ก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็กลับลงไปไม่ได้ "ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้น และอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้ว ฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกล ๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำไว้อย่างอ่อนโยนเท่านั้น และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว แต่ฉันก็ยังคิดถึงแผ่นดินและผืนน้ำ และอยากจะบอกกับทั้งสองว่า ฉันเองคิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใด" ก้อนเมฆก็ตอบว่า "อยู่บนนี้นานๆ ก็เหงาเหมือนกัน บางทีก็อยากกลับลงไปข้างล่างบ้าง" ท้องฟ้าเลยบอกว่า "ฉันก็เหงาเหมือนกัน แต่ว่าฉันกลับลงไปไม่ได้ แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า" จากนั้นก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกัน และรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้า แล้วตกลงมาเป็นหยาดฝน
.... ส่งความรัก ความคิดถึงมายังแผ่นดิน และผืนน้ำ ....

ตั้งแต่นั้นมา จึงไม่แปลกใจเลยว่า เมื่อใดที่ฝนตก ....เราจึงรู้สึกเหงา.....และคิดถึงคนที่เรารัก และผูกพัน ...

Parapluie

Un parapluie est une sorte de toit portatif pliant permettant de se protéger de la pluie. Les parasols et les ombrelles sont construits sur le même principe, mais ne sont pas forcément étanches et ne protègent généralement que du soleil.

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

MonKiChi

ชื่อ Oyama no Monkichi ( หมายถึงภูเขาของลิงในภาษาญี่ปุ่น)
วันเกิด 13 มกราคม
สถานที่เกิด ญี่ปุ่น
บุคลิก
เจ้าลิงน้อยที่มีนิสัยสนุกสนานเฮฮา เขามักจะคุยอวดกับทุกๆคนเสมอว่าเขาเป็นเจ้าของแชมป์กินกล้วยได้เร็วที่สุดในโลก สถิติการกินของเขาก็คือสามารถกินกล้วยได้ 10 ใบภายในเวลาไม่ถึงนาที

Oyama no Monkichi's FRIEND

MOMO วันเกิด 3 มีนาคม สาวน้อยที่ใครๆก็ต้องหลงรัก

OO วันเกิด 1 กุมภาพันธ์ นิสัยสบายๆ ไม่มีปัญหา ยกเว้นกับวิชาเลขที่เขาเกลียดแสนเกลียด


Daikichi วันเกิด 5 พฤษภาคม ลิงหนุ่มน้อยที่คิดว่าตนเองเป็นลิงที่หน้าตาดีที่สุด

Monsuke วันเกิด 1 เมษายนนิสัยสบายๆ แม้บางครั้งจะป้ำๆเป๋อไปบ้างก็ตาม


Chieo วันเกิด 25 ธันวาคม มันสมองของกลุ่ม
Monta วันเกิด 26 พฤศจิกายน น้องชายของ Monkichi

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Vent

Le vent est un mouvement de l’atmosphère. Il peut apparaître sur n’importe quelle planète disposant d’une atmosphère. Ces mouvements de masses d’air sont provoqués par deux phénomènes se produisant simultanément : un réchauffement inégalement réparti de la surface de la planète par l’énergie solaire et la rotation de la planète.
Sur
Terre, plusieurs régions ont des vents caractéristiques auxquels les populations locales ont données des noms particuliers. Les vents sont une source d’énergie renouvelable, et ont été utilisés à travers les siècles à divers usages, par les moulins à vent, la navigation à la voile, le vol à voile ou plus simplement le séchage. La vitesse du vent est mesurée avec un anémomètre mais peut être estimée par une manche à air, un drapeau, etc.

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

*ความมืด..เพื่อนคนแรกของมนุษย์....แต่!!มนุษย์กลับไปหาแสงสว่าง


ความคิด.....ความเชื่อ.....สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเชื่อมั่นมาตลอด......ใช่สิ่งที่ถูกต้องแน่เหรอ
คิดไปคิดมา.....มันเป็นแค่ความเชื่อของมนุษย์นี่......มันใช่ความถูกต้องแน่เหรอ
เหมือนกับการทะเลาะกันระหว่างเพื่อน.....ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูก.....ทั้งๆที่ ต่างฝ่ายต่างคิดไปเองว่าตัวเองถูก
เคยคิดในทางกลับกันบ้างมั้ย.....ถ้าความเชื่อของมนุษย์.....เป็นความชั่วที่ถูก....ความดีเป็นสิ่งที่ผิด
หลายคนอาจจะค้านขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ว่าถ้าความชั่วเป็นสิ่งที่ถูก แล้วทุกคนจะมีความสุขเหรอ....
นั่นก็ใช่......แต่ลองมองให้ลึกเข้าไปอีก.....พยายามทิ้งหลักความจริงที่ตัวเองและมนุษย์ทุกคนเชื่อมาตลอด
ความสุขที่แท้จริงของตนเป็นยังไง...... เราถูกสั่งสอนและป้อนข้อมูลมาตลอดว่า สิ่งนั้นมีความสุข สิ่งนั้นมันอบอุ่น
ลองคิดดูให้ลึกๆ.....ถ้าเราโดนสั่งสอน และป้อนข้อมูลว่า สิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มีความสุขพอทำแล้วมีความสุขบ้างละ
มนุษย์ทุกคนอยู่บนหลักเหตุผลที่เรียกว่า "ข้อมูลที่ถูกสอนสั่งมาแต่เด็กๆ"
ตอนเด็กๆ รับรู้อะไร ฟังอะไร อ่านข้อมูลอะไร ก้จะกลายเป็นรากฐานให้กับตัวตนของตน
สีดำที่ผมเห็น จะเหมือนกับสีดำที่คุณเห็นรึเปล่า ก็ไม่มีใครทราบ
ความดีและความชั่วก็เหมือนกับกระดาษที่มี 2 ด้าน
ต่างกันสุดขั้ว....ไม่มีวันได้เจอกัน.....แต่ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่แค่อีกฝั่งซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น......ความดีและความชั่วที่เราเชื่อกันมาทุกวันนี้.....เป็นแค่ความเชื่อเฉยๆ......
ความดีและความชั่วที่แท้จริงนั้น......คือหลักเหตุผลและความคิดของแต่ละคนตังหาก
ไม่มีใครถูกใครผิดหรอก....เราไม่เคยรู้ซึ้งถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้อื่น......แล้วเราจะรู้จักความดีและความชั่วของเค้าได้อย่างไร
สีดำที่ผมเห็น จะเหมือนกับสีดำที่คุณเห็นรึเปล่า ก็ไม่มีใครทราบ.....
ความดีและความชั่วที่ผมเห็น จะเหมือนกับที่คุณเห็นรึเปล่า.....ก็ไม่มีใครทราบ......
มนุษย์เรานั้นอยู่กับความมืดก่อนที่จะได้พบกับแสงสว่าง.....เมื่อได้พบกับแสงสว่างจึงเข้าไปหามัน....เพราะมันสดใสกว่า สบายกว่า โล่งใจกว่า และเปิดเผยกว่า.....
ความมืดจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว.....มีแต่คนหลับไหลไปไม่สนใจ......ทั้งๆที่เพราะตัวเองไม่มีคุณสมบัติอย่างที่มนุษย์ต้องการ ไม่สดใส....ไม่สบาย....ไม่โล่งใจ....และไม่เปิดเผย
สำหรับเราแล้ว.....แสงสว่างช่วยทำให้เราได้พบเพื่อน....พบกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่ามีความสุขและอบอุ่น...
แต่ก็ไม่เคยมองข้ามความมืด..... ยามที่มีเรื่องต้องคิด....อยากอยู่เงียบๆ....ขอเวลาตัดสินใจอะไรบางอย่าง......
ความมืดคือสิ่งที่เราจะไปอยู่ด้วย......เพราะรู้สึกถึงความอบอุ่นในแบบของความมืด...ความสบายใจในแบบของความมืด.....และรู้สึกใจสงบอย่างบอกไม่ถูกเชื่อ....ความคิด..... ที่มนุษย์ ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น......
ทั้งความคิดที่ว่า ความดีนั้นถุกต้อง ความชั่วนั้นมันผิด......
มีใครเคยคิดบ้างมั้ยว่า.....
ความเชื่อนั้นมันผิดตลอดมา
ความคิด.....ความเชื่อ.....สิ่งที่มนุษย์ทุกคนเชื่อมั่นมาตลอด......ใช่สิ่งที่ถูกต้องแน่เหรอ
คิดไปคิดมา.....มันเป็นแค่ความเชื่อของมนุษย์นี่......มันใช่ความถูกต้องแน่เหรอ
เหมือนกับการทะเลาะกันระหว่างเพื่อน.....ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองถูก.....ทั้งๆที่ ต่างฝ่ายต่างคิดไปเองว่าตัวเองถูก
เคยคิดในทางกลับกันบ้างมั้ย.....ถ้าความเชื่อของมนุษย์.....เป็นความชั่วที่ถูก....ความดีเป็นสิ่งที่ผิด
หลายคนอาจจะค้านขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ ว่าถ้าความชั่วเป็นสิ่งที่ถูก แล้วทุกคนจะมีความสุขเหรอ....
นั่นก็ใช่......แต่ลองมองให้ลึกเข้าไปอีก.....พยายามทิ้งหลักความจริงที่ตัวเองและมนุษย์ทุกคนเชื่อมาตลอด
ความสุขที่แท้จริงของตนเป็นยังไง...... เราถูกสั่งสอนและป้อนข้อมูลมาตลอดว่า สิ่งนั้นมีความสุข สิ่งนั้นมันอบอุ่น
ลองคิดดูให้ลึกๆ.....ถ้าเราโดนสั่งสอน และป้อนข้อมูลว่า สิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มีความสุขพอทำแล้วมีความสุขบ้างละ
มนุษย์ทุกคนอยู่บนหลักเหตุผลที่เรียกว่า "ข้อมูลที่ถูกสอนสั่งมาแต่เด็กๆ"
ตอนเด็กๆ รับรู้อะไร ฟังอะไร อ่านข้อมูลอะไร ก้จะกลายเป็นรากฐานให้กับตัวตนของตน
สีดำที่เห็น จะเหมือนกับสีดำที่คุณเห็นรึเปล่า ก็ไม่มีใครทราบ
ความดีและความชั่วก็เหมือนกับกระดาษที่มี 2 ด้าน
ต่างกันสุดขั้ว....ไม่มีวันได้เจอกัน.....แต่ทั้ง 2 ฝ่ายอยู่แค่อีกฝั่งซึ่งกันและกัน
เพราะฉะนั้น......ความดีและความชั่วที่เราเชื่อกันมาทุกวันนี้.....เป็นแค่ความเชื่อเฉยๆ......
ความดีและความชั่วที่แท้จริงนั้น......คือหลักเหตุผลและความคิดของแต่ละคนตังหาก
ไม่มีใครถูกใครผิดหรอก....เราไม่เคยรู้ซึ้งถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้อื่น......แล้วเราจะรู้จักความดีและความชั่วของเค้าได้อย่างไร
สีดำที่เห็น จะเหมือนกับสีดำที่คุณเห็นรึเปล่า ก็ไม่มีใครทราบ.....
ความดีและความชั่วที่เห็น จะเหมือนกับที่คุณเห็นรึเปล่า.....ก็ไม่มีใครทราบ......
มนุษย์เรานั้นอยู่กับความมืดก่อนที่จะได้พบกับแสงสว่าง.....เมื่อได้พบกับแสงสว่างจึงเข้าไปหามัน....เพราะมันสดใสกว่า สบายกว่า โล่งใจกว่า และเปิดเผยกว่า.....
ความมืดจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว.....มีแต่คนหลับไหลไปไม่สนใจ......ทั้งๆที่เพราะตัวเองไม่มีคุณสมบัติอย่างที่มนุษย์ต้องการ ไม่สดใส....ไม่สบาย....ไม่โล่งใจ....และไม่เปิดเผย
สำหรับเราแล้ว.....แสงสว่างช่วยทำให้เราได้พบเพื่อน....พบกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่ามีความสุขและอบอุ่น...
แต่ก็ไม่เคยมองข้ามความมืด..... ยามที่มีเรื่องต้องคิด....อยากอยู่เงียบๆ....ขอเวลาตัดสินใจอะไรบางอย่าง......
ความมืดคือสิ่งที่เราจะไปอยู่ด้วย......เพราะรู้สึกถึงความอบอุ่นในแบบของความมืด...ความสบายใจในแบบของความมืด.....และรู้สึกใจสงบอย่างบอกไม่ถูก

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เพื่อน~~


คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
คอยรอ ยามเพื่อนสาย คอยพาย ยามเพื่อนพัก
คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์ คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ
คอยง้อ ยามเพื่อนงอน คอยสอน ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ คอยเจอ ยามเพื่อนหา
คอยลา ยามเพื่อนกลับ คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น
คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน คอยหอน ยามเพื่อนเห่า
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ คอยอุบ ยามเพื่อนปิด
คอยคิด ยามเพื่อนถาม คอยปราม ยามเพื่อนหลง
คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยอด ยามเพื่อนทาน คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
คอยชม ยามเพื่อนชนะ คอยสละ ยามเพื่อนชอบ

อย่า!ลืมให้ความสำคัญกับคนที่คุณเรียกว่า "เพื่อน" นะ
โดยเฉพาะถ้าเค้าคือเพื่อนจริงๆ


... เธอทุกข์ - ฉันทุกข์ เธอสุข – ฉันสุข.....

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องของพรหมลิขิต?!

ด้ายแดง.....มีใครรอเราอยู่.....จริงเหรอ???

....ในหลายๆ ความเชื่อเกี่ยวกับความรัก และคู่ชีวิต ..

ความเชื่ออันนึงที่เชื่อว่า..

คู่ชีวิตที่แท้จริง จะมีด้ายสีแดงผูกที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เชื่อมกันไว้

รอจนวันนึง..ด้ายสีแดงนี้จะนำให้เขาทั้งสองมาพบกัน
และรักกันในที่สุด..

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

ว๊า จา...ปิดเทอมแร่ว ว


คิ๊ ถิ พื่ ร๊ !!


,, 5/7 a i m e m e n t ~



วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

MeMorii[z]


อ้าว!!ดิ่ ตูด ๕๕+

กี่นิ้วนั่น? นับๆ

<<< ดิ่ ตูด ภาค 2 กรั๊กๆ







ยังจะ^0^ >>>>>





, , เพื่ออารัย ? ?