
แล้วอาการเหงาๆ เฉาๆเนี่ยมันก็จะเกาะใจเราอยู่ไปจนกระทั่ง เมื่อได้เราได้รับความสนใจ ใส่ใจจากใคร โดยเฉพาะจากคนนั้นที่เราเอาใจไปทากาวตราช้างติดเอาไว้ หรือ เมื่อเราไปเจอกับใครคนใหม่ หรืออะไรใหม่ๆที่มีแรงดึงดูดที่แรงกว่ากาวตราช้างที่ติดใจเรากับคนนั้นไว้.. โดยไม่ทันรู้ตัว เราก็จะเริ่มทากาวตราช้างไปติดกับสิ่งใหม่ที่ดึงเราออกไป ในขณะที่กาวเก่าก็จะเริ่มหมดสภาพความเหนียวลงเรื่อยๆ..และแล้วความเหงาก็จะหายไป....... ชั่วคราวใช่แล้ว แค่ชั่วคราว เพราะสองอย่างข้างบนนี้ไม่เคยทำให้ใครหายเหงาได้ตลอดไปเลย..เหตุผลเดียวคือ.. เราไม่สามารถบังคับใครก็ตามให้มาเป็นอย่างใจเราได้ตลอดไปเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่ได้รับความใส่ใจอย่างที่ใจเราต้องการ.. ความเหงาก็จะกลับมาอีก..
"ความเหงา คือความอยากรู้ ว่าเรามีตัวตนลองนึกดูว่า เราจะหายเหงา เมื่อมีคนมาให้ความสนใจกับ "เรา" ซึ่งนี่ เป็นหลักฐานว่า ถ้าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งพิสูจน์ว่ามี "เรา" ความเหงาก็จะหายไป ไม่ว่าจะบอกด้วยภาษาพูดหรือภาษาท่าทางว่า "เรา" นั้นสวย น่ารัก น่าสนใจ มีเสน่ห์ ดึงดูดใจ เป็นที่หนึ่งในใจเขา blah blah blah ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ที่ใจเราจะพองด้วยความดีใจ นี่คือหลักฐานหนึ่ง ว่าคนเรานั้น ต้องการที่จะรู้ว่า "เรา" มีตัวตน จึงมีคนให้ความสนใจ ใส่ใจ รักใคร่ ใยดี มีใจ"
สรุปได้ว่า ความเหงาคือความทะยานอยากจะรู้ให้ได้ว่าเรามีตัวตน คือความอยากรู้จักตัวเองแต่เพราะเราไม่รู้จักตัวเอง จึงต้องไปอาศัยตาชาวบ้านเพื่อจะมองกลับมาให้เห็นและพิสูจน์ว่าเราน่ะมีตัวตนจริงๆนะ..ทีนี้จะทำยังไงล่ะถึงจะหายเหงาได้ถาวร??แทนที่จะเราจะแก้ไขอาการเหงาหรืออาการอยากรู้จักตัวเองด้วยการไปรอให้มีสิ่งพิสูจน์จากภายนอก ที่มาทำตัวเป็นกระจกสะท้อนให้เราได้รู้ว่าเรามีตัวตน มีความสำคัญ มีเสน่ห์ดึงดูด ฯลฯ ก็ใช้ตัวเราเองนี่แหละ มาทำความรู้จักกับตัวเรา โดยการ "รู้" อยู่ที่ "ตัวเรา"นี่คือแนวทางในการปฏิบัติในทางพุทธที่เรียกว่า "สัมปชัญญะ" หรือ "ความรู้ตัว"
เมื่อเราเริ่ม "รู้" ว่า "ตัวเรา" นี่คืออะไร มีขอบเขตอยู่แค่ไหน.. เราก็จะเข้าใจแล้วก็รู้จักตัวเองมากขึ้น.. อาการอยากรู้จักตัวเองก็จะค่อยๆหายไป..เริ่มดูจากกาย(รูปธรรม)ที่ง่ายหน่อย แล้วก็เขยิบไปดูจิต(นามธรรม)ที่ยากขึ้น"และเมื่อเฝ้าดูกายดูจิตไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นชัดและเป็นกลางขึ้นว่าความเหงาคืออะไร ความเสียใจ ความเศร้าหมองคืออะไร และเข้าใจว่าทุกข์นั้นเกิดจากิริยาจิตอย่างนี้ในที่สุดก็จะเห็นความจริง ว่าอันที่จริงแล้ว ที่จิตเข้าใจว่าจิตคือเรานั้น เป็นความเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะอันที่จริงนั้น จิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครซึ่งเป็นเรื่องที่จิตเท่านั้นที่จะพ้นจากทุกข์ พ้นจากความเข้าใจผิด พ้นจากความวนเวียนเฝ้าหาทางพิสูจน์อยู่ตลอด ว่าจิตเป็นเรา"
1 ความคิดเห็น:
เราบังเอิญเข้ามาอ่าน ขอวิสาสะก็อปเนื้อหาไปลงในเฟสบุคให้เพื่อนได้อ่านกันนะคะ เด่วให้เครดิตบล็อกคุณ ขอบคุณนะ
แสดงความคิดเห็น